การใช้ชื่อมูลนิธิหาประโยชน์โดยมิชอบมาแบ่งกัน
ปัจจุบันมีกลุ่มคนจัดตั้งเป็นมูลนิธิหรือรวมตัวกันทางเฟซบุ๊ค อ้างว่าเป็นมูลนิธิที่ช่วยเหลือประชาชนทางด้านกฎหมาย โดยส่วนใหญ่มักจะอ้างว่าต่อต้านการทุจริต และรับเรื่องร้องเรียนจากประชาชน หลังจากนั้นมีการเรียกเงินหรือทรัพย์สินในการดำเนินการ แต่ปรากฏว่าไม่ได้ไปดำเนินการตามที่กล่าวอ้าง อันเป็นการซ้ำเติมประชาชนที่ลำบากอยู่แล้วต้องเดือดร้อนมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังอ้างว่ามีทนายความในสังกัดพร้อมช่วยเหลือ ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนมรรยาททนายความ เพราะทนายความของไทยไม่สามารถแต่งตั้งให้ใครเป็นนายหน้าหาคดีความให้ว่าความได้ ซึ่งทนายความดังกล่าวที่ไปอยู่ภายใต้กลุ่มคนเหล่านั้นถือว่ากระทำผิดมรรยาททนายความ จนต่อมามีข่าวทางสื่อมวลชน เป็นที่รู้กันทั่วไปว่า กลุ่มบุคคลดังกล่าวได้ถูกผู้เสียหายร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนหลายคดี เพราะสูญเสียเงินทองและทรัพย์สินไป แต่มิได้ดำเนินการตามที่รับปากแต่อย่างใด นอกจากนั้นกลุ่มบุคคลดังกล่าวยังอ้างว่าสามารถช่วยเหลือทางคดีได้ ทั้งที่มิใช่ทนายความ หรือเป็นที่รู้กันว่าเป็นทนายปลอม ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวเข้าข่ายฐานฉ้อโกงประชาชน ซึ่งก่อนหน้านี้ศาลฎีกาเคยตัดสินมาแล้วกรณีอ้างตัวเป็นหมอ ว่ารักษาคนไข้ได้โดยใช้วิธีที่ไม่เหมือนหมอ ศาลฎีกาตัดสินว่าเป็นการฉ้อโกงประชาชน อ้างอิงคำพิพากษาฎีกาที่ 2593/2521 ทนายคลายทุกข์ได้พยายามต่อต้านกลุ่มบุคคลที่แสวงหาประโยชน์จากการตั้งมูลนิธิหรืออ้างตัวว่าเป็นกลุ่มต่อต้านการทุจริต แต่แอบแฝงหาประโยชน์จากผู้ที่ทุกข์ยากมาแบ่งกันจนร่ำรวย ปัจจุบันได้มีการดำเนินคดีตามกฎหมายแล้ว หากท่านมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องการทุจริตและจำเป็นต้องติดต่อมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือ ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่จากเจ้าหน้าที่ของรัฐ ควรเลือกมูลนิธิที่มีความน่าเชื่อถือสูง เช่น มูลนิธิต่อต้านการทุจริต ซึ่งมีอาจารย์วิชา มหาคุณ เป็นกรรมการเป็นต้น ซึ่งมูลนิธิดังกล่าวมิได้มุ่งหาประโยชน์มาแบ่งกัน ผมได้ไปหาข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินการของมูลนิธิจากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยมาเผยแพร่ให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบครับ หากพี่น้องประชาชนจะไปขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิ หรือจะจัดตั้งมูลนิธิให้พิจารณาจากคำแนะนำของราชการด้านล่างนี้นะครับ
คำแนะนำการจัดตั้งและดำเนินงานมูลนิธิและสมาคม
สมาคมสันนิบาตมูลนิธิแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (ส.ม.ท.) และสมาชิกสันนิบาตสมาคมแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) ได้พิจารณาเห็นว่า ในปัจจุบันมีผู้สนใจก่อตั้งมูลนิธิและสมาคมกันมาก แต่ยังไม่เข้าใจการดำเนินการจัดตั้งว่ามีขั้นตอนอย่างไรเมื่อได้รับอนุมัติให้จัดตั้งต้องดำเนินการอย่างไร จึงเห็นสมควรจัดทำคำแนะนำการจัดตั้งและดำเนินงานมูลนิธิและสมาคมขึ้น เพื่อให้เข้าใจโดยง่ายและเป็นการอำนวยความสะดวกในแนวทางปฏิบัติ
มูลนิธิ ความหมายของมูลนิธิ
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 110 ได้บัญญัติความหมายของมูลนิธิไว้ว่า
มูลนิธิ ได้แก่ ทรัพย์สินที่จัดสรรไว้โดยเฉพาะสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการกุศลสาธารณะ การศาสนา ศิลปะ วิทยาศาสตร์ วรรณคดี การศึกษา หรือเพื่อสาธารณะประโยชน์อย่างอื่น โดยมิได้มุ่งหาผลประโยชน์มาแบ่งปันกันและได้จดทะเบียนตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้
การจัดการทรัพย์สินของมูลนิธิ ต้องมิใช่เป็นการหาผลประโยชน์เพื่อบุคคลใดนอกจากเพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธินั้นเอง
กล่าวโดยสรุป ความหมายของมูลนิธิตามข้อกฎหมายข้างต้นนี้ ให้ความสำคัญอยู่ที่ทรัพย์สิน คือ เป็นการนำเอาเงินสด และอสังหาริมทรัพย์มารวมกันเข้าเป็นเพื่อทำกิจกรรมให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ดังจะเห็นได้จากหลักเกณฑ์ของการจัดตั้งมูลนิธิ ซึ่งทางราชการได้กำหนดหลักการและจำนวนเงินทุน “ทุนทรัพย์ เริ่มแรก” ที่นำมาจดทะเบียนไว้ดังนี้ ในการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิต้องมีกองทุนเป็นเงินสดไม่น้อยกว่า 500,000 บาท ถ้าเป็นทรัพย์สินอย่างอื่นต้องมีเงินสดไม่น้อยกว่า 250,000 บาท และเมื่อรวมกับทรัพย์สินอื่นแล้วต้องมีมูลค่าไม่น้อยกว่า 500,000 บาท
สุดท้ายนี้หากพี่น้องประชาชน พบเห็นมูลนิธิจริงและมูลนิธิปลอมมิได้ดำเนินการตามวัตถุประสงค์ ที่จดไว้กับนายทะเบียนแห่งท้องที่ที่สำนักงานของมูลนิธิตั้งอยู่และมีการกระทำการไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่จดทะเบียน โดยมุ่งหาประโยชน์มาแบ่งกัน รวมทั้งมีวิธีการอันขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรมหรือความมั่นคง ให้ท่านแจ้งไปยังนายทะเบียนท้องที่ดังกล่าว เพื่อดำเนินคดีทางกฎหมายต่อไป กระทรวงการคลังได้ออกประกาศเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2535 ให้มูลนิธิที่ทำการค้าหากำไรอยู่ในเกณฑ์ต้องเสียภาษี ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39 (3) ส่วนผู้ที่ตั้งมูลนิธิเถื่อนจะมีความผิดทางอาญา ตามพ.ร.บ.ความผิดเกี่ยวกับมูลนิธิฯ มาตรา 61 จำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้หากผู้ใดใช้คำว่ามูลนิธิโดยมิได้เป็นมูลนิธิที่จดทะเบียนตามกฎหมาย ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท และปรับอีกไม่เกินวันละ 500 บาท จนกว่าจะได้เลิกใช้ ส่วนกรรมการมูลนิธิดำเนินการผิดวัตถุประสงค์ต้องระวางโทษจำคุกตามมาตรา 66 จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
ทุกวันนี้มีมิจฉาชีพหากินในหลายรูปแบบโดยเฉพาะในสื่อสังคมออนไลน์ บุคคลที่เราเห็นเป็นฮีโร่ทางเฟซบุ๊คหรือยูทูป อาจไม่ใช่ฮีโร่ตัวจริง อาจเป็นมิจฉาชีพที่แฝงตัวมาในคราบของมูลนิธิที่หากินบนความเดือดร้อนของประชาชน ทุกท่านต้องช่วยกันตีแผ่นะครับ