ความรับผิดของคู่สมรสในหนี้สิน
ปัจจุบันนักธุรกิจ ทำธุรกิจมีความเสี่ยงที่จะเป็นหนี้เป็นสิน เช่น การขอกู้เงินจากสถาบันการเงินเจ้าหนี้ เมื่อเศรษฐกิจไม่ดีค้าขายขาดทุน เก็บเงินจากลูกค้าไม่ได้ ทำให้มีปัญหาสภาพคล่อง ปัญหาหนี้สินก็ตามมา มีท่านผู้อ่านหลายท่านถามมาเรื่องหนี้สินที่คู่สมรสไปก่อไว้ คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งต้องรับผิดหรือไม่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์วางหลักไว้ อธิบายง่ายๆ คือ ถ้าเป็นหนี้ร่วม สามีภริยาต้องรับผิดร่วมกัน และจะต้องถูกยึดสินสมรสทั้งสองฝ่าย จะขอกันส่วนไม่ได้ แต่ถ้าเป็นหนี้ส่วนตัว ฝ่ายใดก่อหนี้ก็ต้องรับผิดเป็นการเฉพาะตัว หนี้ที่ต้องรับผิดร่วมกันเฉพาะหนี้ที่มีมูลหนี้มาจากนิติกรรมสัญญาเท่านั้น ส่วนหนี้ที่เกิดจากการกระทำละเมิดของคู่สมรสฝ่ายใดเพียงฝ่ายเดียวเช่นการยักยอก หรือฉ้อโกงบุคคลอื่น ถึงแม้จะเอาเงินมาใช้จ่ายในครอบครัวก็ไม่ใช่หนี้ร่วม คู่สมรสอีกฝ่ายถ้าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำละเมิดก็ไม่ต้องรับผิด ตัวอย่างคำพิพากษาของศาลฎีกา ทนายคลายทุกข์นำมาเผยแพร่เพื่อเป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิต
1.ถ้าเป็นหนี้ร่วมระหว่างสามีภริยา เจ้าหนี้ฟ้องคู่สมรสคนใดคนหนึ่ง ในชั้นบังคับคดีก็ยึดสินสมรสได้ทั้งหมด คู่สมรสอีกฝ่ายจะขอกันส่วนไม่ได้ ฎีกาที่ 2725/2528
2.ถ้าเจ้าหนี้ฟ้องแต่ลูกหนี้ไม่ได้ฟ้องคู่สมรส ไม่สามารถยึดสินส่วนตัวของคู่สมรสได้ ฎีกาที่ 1652/2522, 445/2540
3.หนี้ร่วมที่สามีภริยาต้องรับผิดร่วมกัน ต้องเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นระหว่างที่เป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายด้วย หนี้ที่เกิดขึ้นระหว่างอยู่กินฉันสามีภริยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส ไม่ใช่หนี้ร่วม ไม่ต้องรับผิดร่วมกัน จึงร้องกันส่วนได้ ฎีกาที่ 3156/2525
4.อย่างไรก็ตาม ถ้าหนี้ที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก่อขึ้นระหว่างเป็นสามีภริยา ไม่ใช่หนี้ร่วมแล้ว ก็ไม่ต้องรับผิดร่วมกัน คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งร้องกันส่วนในสินสมรสที่ถูกยึดบังคับคดีได้ ฎีกาที่ 2526/2521
5.ความรับผิดในหนี้ร่วมระหว่างสามีภริยา จะต้องรับผิดต่อเมื่อสามีหรือภริยาชำระหนี้ร่วมให้แก่เจ้าหนี้ไปแล้ว ถ้าสามีภริยาหย่ากันและแบ่งสินสมรสก่อนชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ ฝ่ายใดจะเก็บรักษาเงินไว้อ้างว่าเพื่อชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ไม่ได้ ฎีกาที่ 1490/2558
6.หนี้ร่วมระหว่างสามีภริยาต้องมีมูลหนี้สืบเนื่องมาจากนิติกรรมสัญญา ไม่รวมถึงหนี้ที่เกิดจากการกระทำละเมิดด้วย ดังนี้ การที่คู่สมรสฝ่ายหนึ่งยักยอกเงินผู้อื่นเป็นความรับผิดในมูลละเมิด แม้นำเงินที่ยักยอกมาใช้จ่ายในครอบครัวก็ไม่ใช่หนี้ร่วมระหว่างสามีภริยา ฎีกาที่ 17261/2555 ทั้งนี้เพราะมูลหนี้ละเมิดไม่อาจให้สัตยาบันได้ ฎีกาที่ 1137/2559
7.คู่สมรสกู้เงินจากผู้อื่นแล้วนำเงินไปซื้อทรัพย์สิน ทรัพย์สินนั้นย่อมเป็นสินสมรสเพราะเป็นทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรสตามมาตรา 1474(1) ส่วนหนี้เงินกู้เป็นหนี้ที่เกี่ยวข้องกับสินสมรสตามาตรา 1490(2) เป็นหนี้ร่วมระหว่างสามีภริยา คู่สมรสของลูกหนี้ต้องร่วมใช้หนี้เพราะเป็นหนี้ร่วม ฎีกาที่ 5274/2556
8.คู่สมรสให้ความยินยอมการทำนิติกรรมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง ฎีกาที่ 5118/2559,3425/2545 เป็นการให้สัตยาบันตามมาตรา 1490(4) เป็นหนี้ร่วม คู่สมรสต้องร่วมใช้หนี้
9.มูลหนี้ละเมิดเป็นหนี้ที่คู่สมรสฝ่ายหนึ่งกระทำขึ้นแต่ฝ่ายเดียว เป็นมูลหนี้ที่ไม่อาจให้สัตยาบันได้ จึงไม่ใช่หนี้ร่วมตามมาตรา 1490 ฎีกาที่ 1137/2559,2429/2555
10.คู่สมรสลงชื่อเป็นพยานในสัญญา เป็นการให้สัตยาบัน คู่สมรสที่ยินยอมต้องรับผิดร่วมใช้หนี้ เพราะถือเป็นหนี้ร่วม ฎีกาที่ 7631/2552
11.การที่คู่สมรสฝ่ายแรกทำสัญญาค้ำประกันหนี้ของบุคคลอื่น และคู่สมรสอีกฝ่ายหลังลงชื่อเป็นพยานในสัญญาค้ำประกัน นับเป็นการให้สัตยาบัน คู่สมรสฝ่ายหลังต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมในมูลหนี้ค้ำประกันตามมาตรา 1490 มิใช่รับผิดในฐานะผู้ค้ำประกัน ดังนี้ การที่อายุความสะดุดหยุดลงเป็นโทษแก่คู่สมรสฝ่ายแรก ย่อมไม่เป็นโทษแก่คู่สมรสฝ่ายหลังที่ให้สัตยาบันด้วย จะนำบทบัญญัติมาตรา 692 ในเรื่องค้ำประกันมาใช้บังคับแก่คู่สมรสที่ให้สัตยาบันด้วยไม่ได้ ดูฎีกาที่ 14281/2558
การก่อหนี้ ต้องคิดก่อนก่อหนี้ว่าจะมีความสามารถในการชำระหนี้หรือไม่ ไม่ควรก่อหนี้เกินตัว