แสดงตนเป็นเจ้าพนักงานและกระทำการเป็นเจ้าพนักงาน
คดีจบโทอ้างเรียนสูง แสดงตนเป็นเจ้าพนักงานและกระทำการเป็นเจ้าพนักงาน มีความผิดตามกฎหมาย ทนายคลายทุกข์เอามาฝากเป็นอุทาหรณ์ครับ
1.ฎีกาที่ 60/2502 การที่จำเลยเอากุญแจมืออย่างของตำรวจใส่และตรวจค้นผู้เสียหายเป็นการแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานและกระทำการเป็นเจ้าพนักงานแล้ว
2. ฎีกาที่ 666/2508 จำเลยอ้างว่าตนเป็นตำรวจพร้อมเอาบัตรประจำตัวแลบกระเป๋าเสื้อแล้ว โดยตนเองไม่มีอำนาจหน้าที่
3. ฎีกาที่ 382/2506 ขอค้นผู้เสียหายยอมให้ค้นเป็นการแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานและกระทำการเป็นเจ้าพนักงานแล้ว
คำพิพากษาฎีกาอ้างอิง
1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 60/2502
การที่จำเลยเป็นคนเอากุญแจมืออย่างของตำรวจใส่เจ้าทรัพย์และพวกเจ้าทรัพย์ ทั้งได้กระทำการค้นถือว่าเป็นการแสดงตนและกระทำการเป็นเจ้าพนักงานด้วย
2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 666/2508
จำเลยทั้งสองกับพวกเข้าล้อมผู้เสียหาย แล้วจำเลยที่ 1 บอกว่าอั๊วเป็นตำรวจพร้อมกับเอาบัตรประจำตัวแลบกระเป๋าเสื้อขอค้น ผู้เสียหายเชื่อจึงยอมให้ค้นจำเลยกับพวกค้นแล้วไม่ได้ของผิดกฎหมายจึงเอามีดออกขู่เอานาฬิกาข้อมือของผู้เสียหายไป ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองฐานปล้นทรัพย์ไปแล้ว โจทก์จึงฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ดังนี้การแสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานและกระทำการเป็นเจ้าพนักงานตำรวจโดยมิได้เป็นเจ้าพนักงานที่มีอำนาจกระทำการนั้น จำเลยที่ 1 ได้กระทำไปครบองค์ความผิดเป็นการเสร็จเด็ดขาดอยู่ในตัวไปตอนหนึ่งแล้วเมื่อไม่ได้ของผิดกฎหมายจำเลยที่ 1 กับพวกจึงเอามีดออกขู่ทำการปล้นทรัพย์เป็นการเริ่มกรรมใหม่อีกกรรมหนึ่งถือว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 สิทธินำคดีมาฟ้องยังไม่ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4)
3.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 382/2506
ในกรณีที่จำเลยที่ 1,2 ถูกฟ้องร่วมกันมาเพื่อให้ใช้ค่าเสียหายนั้นถึงแม้จำเลยที่ 1 จะให้การรับว่าได้กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายจริง
แต่เมื่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันปฏิเสธว่าจำเลยที่ 1 มิได้ประมาทเช่นนี้ โจทก์ต้องนำสืบหักล้างให้ฟังได้ตามฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ประมาท ทั้งนี้เพราะคำให้การอันเป็นกระบวนพิจารณาที่จำเลยที่ 1 กระทำไปนั้นเป็นที่เสื่อมเสียแก่จำเลยที่ 2 ย่อมไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 59