การถูกหลอกให้กระทำความผิด (Innocent Agent ตัวแทนโดยบริสุทธิ์)
คดีเงินทอนวัดที่กำลังเป็นข่าว ว่าพระมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดในการทุจริตหรือไม่ จากรายงานข่าวและการสืบสวนสอบสวน มีการพูดกันถึงเรื่องตัวแทนโดยบริสุทธิ์ หลายคนถามทนายคลายทุกข์ว่า หมายถึงอะไร คำตอบคือ มีผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดโดยที่ผู้ถูกใช้ไม่รู้ว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดบุคคลเหล่านี้เป็นเพียงเครื่องมือในการกระทำความผิด ถือว่าผู้ใช้เป็นผู้กระทำความผิดเองโดยอ้อม ผู้ถูกใช้ที่ไม่รู้ว่าการกระทำของตนนั้นเป็นความผิดนั้นเรียกว่าตัวแทนโดยบริสุทธิ์ การดำเนินคดีลักษณะนี้เรียกว่า"กันไว้เป็นพยาน" เป็นที่นิยมมากในคดีสำคัญ เพราะ "ยากในการหาพยานหลักฐาน" บางครั้งอาจจะต้องเอาผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดนั้นมาเป็นพยานพิสูจน์ความผิดของผู้ต้องหาหรือจำเลยในชั้นศาล (อ้างอิงคำพิพากษาฎีกาที่ 14213/2557 ฎีกาที่ 5318/2549 ฎีกาที่ 2030/2537 )
ตัวบทกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14213/2557
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ใช้บัตรเอทีเอ็มของผู้เสียหายเบิกถอนเงินของผู้เสียหายจากตู้เอทีเอ็มของธนาคารโดยสำคัญผิดว่าจำเลยที่ 3 ผู้มอบบัตรเอทีเอ็มและใช้ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 นำไปเบิกถอนเงินมีสิทธิที่จะใช้บัตรเอทีเอ็มนั้นได้ แม้ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยที่ 3 มีสิทธิใช้บัตรเอทีเอ็มของผู้เสียหายไปเบิกถอนเงินที่ตู้เอทีเอ็มของธนาคารจะไม่มีอยู่จริง แต่จำเลยที่ 1 และที่ 2 สำคัญผิดว่ามีอยู่จริง จำเลยที่ 1 และที่ 2 ย่อมไม่มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 62 วรรคแรก จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 กระทำความผิดตามฟ้อง แต่ต้องถือว่าจำเลยที่ 3 เป็นผู้กระทำผิดโดยอ้อมโดยใช้จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นตัวแทนโดยบริสุทธิ์ (Innocent Agent) เป็นเครื่องมือในการกระทำผิดของจำเลยที่ 3 เอง และแม้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 3 เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 กระทำผิด แต่ทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 เป็นผู้กระทำผิดโดยอ้อมโดยใช้จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นตัวแทนโดยบริสุทธิ์เป็นเครื่องมือในการกระทำผิด ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อแตกต่างกับฟ้องในสาระสำคัญ เพราะไม่ว่าจำเลยที่ 3 จะกระทำผิดด้วยตัวเอง หรือเป็นการกระทำผิดโดยอ้อม จำเลยที่ 3 ก็มีสถานะเป็นผู้กระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้องเหมือนกัน เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 ได้หลงต่อสู้ ศาลฎีกาจึงย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 3 ตามที่พิจารณาได้ความตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสอง
2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5318/2549
จำเลยจ้างให้บุคคลที่ไม่รู้มาก่อนว่าที่ดินบริเวณที่เกิดเหตุเป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ให้นำรถไถไปไถที่ดินบริเวณดังกล่าว จึงไม่ใช่เป็นการใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิด เพราะผู้ถูกใช้ไม่รู้ว่าการกระทำนั้นเป็นความผิด แต่เป็นการใช้บุคคลเหล่านั้นเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด ถือว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดเองโดยอ้อม จำเลยจึงมีความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 14 และมาตรา 31 วรรคสอง
3.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2030/2537
จำเลยใช้ให้เด็กหญิงป.ไปรับยาเสพติดให้โทษเฮโรอีน โดยเด็กหญิงป.ไม่ทราบข้อเท็จจริง การที่เด็กหญิงป. ครอบครองยาเสพติดให้โทษเฮโรอีนก็ถือว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองยาเสพติดให้โทษเฮโรอีนเอง