คดีบัตรเครดิตบัตรเงินด่วนล้นศาล
วันนี้
อ. เดชา กิตติวิทยานันท์
เดินทางไปที่ศาลแขวงพระนครเหนือ พบว่า คดีบัตรเครดิตบัตรเงินด่วน ,
การไฟฟ้าฟ้องเรียกค่าไฟที่ค้างชำระ , กยส.ฟ้องเรียกเงินยืมเพื่อการศึกษา
, บริษัทผู้ให้บริการมือถือฟ้องเรียกค่าใช้บริการที่ค้างชำระ ล้นศาล
ช่วงเช้ามีคดีพิจารณาที่ศาลนี้ประมาณ 100 คดีเศษ ส่วนช่วงบ่ายประมาณ 100
คดีเศษเช่นเดียวกัน
แสดงให้เห็นว่าปัญหาหนี้สินของพี่น้องประชาชนเกี่ยวกับการค้างชำระค่าบริการต่าง ๆ
มีเป็นจำนวนมาก
เจ้าหนี้ได้ประโยชน์จากกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค
คือ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2552
ที่กำหนดให้การพิจารณาคดีผู้บริโภคต้องกระทำโดยรวบรัด รวดเร็ว
โดยจะต้องนัดพิจารณาคดีภายใน 30 วัน
และใช้เจ้าพนักงานคดีและเจ้าพนักงานประนอมดำเนินการแทนศาล
ไม่มีการสืบพยานในชั้นศาล ทนายความเพียงแต่นำสำเนาเอกสารเกี่ยวกับหนี้สินที่ค้างชำระมาส่งศาลพร้อมบันทึกคำให้การพยานซึ่งได้พิมพ์มาก่อนแล้วโดยไม่ต้องเบิกความมายื่นต่อศาลคดีก็เสร็จสิ้น
ประหยัดค่าใช้จ่ายของเจ้าหนี้ ประหยัดเวลาของเจ้าหนี้ คดีในศาลเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์
เจ้าหนี้ได้ประโยชน์จากกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค
ทุกคดีที่ลูกหนี้ถูกฟ้องไม่มีลูกหนี้รายใดเดินทางมาศาลเลย
หลังจากนั้นจะไม่มีการบังคับคดีโดยให้เวลาลูกหนี้เพียง 15 วัน
การส่งหมายศาลในกรณีปิดหมายก็ให้มีผลบังคับโดยทันที
ไม่ให้เวลา 15 วันเหมือนกับคดีแพ่งสามัญทั่วไป ลูกหนี้จึงเสียเปรียบทุกเรื่อง
รายงานกระบวนพิจารณาคดี ศาลก็มีการจัดพิมพ์ไว้เรียบร้อยแล้ว
โดยเจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ ทุกสิ่งทุกอย่างรวบรัดไปหมด
ส่วนคดีที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ได้ข่าวมาว่า คดีเกี่ยวกับบัตรเครดิตและบัตรเงินด่วนหายไปจากศาลประมาณ
90% เนื่องจากกฎหมายให้ฟ้อง ณ
ภูมิลำเนาของผู้บริโภคที่ใช้บัตรเครดิตหรือบัตรเงินด่วน
ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคนทางภาคอีสาน ทำให้ทนายทางภาคอีสานมีงานทำมากขึ้น
ส่วนทนายความในกรุงเทพมหานครงานน้อยลงไปประมาณ 90% ค่าตอบแทนที่สถาบันการเงินจ้างทนายน้อยมาก
ในแต่ละคดีต้องไปศาลประมาณ 5 ครั้ง ดังนี้
-
ยื่นฟ้อง
-
ติดตามผลหมาย
-
นัดไกล่เกลี่ย
-
ติดตามคำพิพากษา
-
ออกคำบังคับ
-
ออกหมายบังคับคดี
หลังจากนั้นจึงจะเก็บเงินทั้งหมดได้
หากมีการสู้คดี ทนายความคดีผู้บริโภคของสถาบันการเงินจะขาดทุนทุกคดี
แต่ก็ยังมีทนายความที่ไม่มีทางเลือกต้องรับคดีประเภทนี้ในภาวะเศรษฐกิจฝืดเคืองต่อไป
ส่วนการทวงหนี้ของสำนักงานติดตามทวงหนี้
ก็มีความรุนแรงมากขึ้น ผลกระทบที่เกิดกับลูกหนี้ที่ตามมาจึงมีมากมาย
ทางด้านร่างกายและจิตใจ ทำให้ควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้ โมโหฉุนเฉียว
สร้างปัญหาให้กับสังคมอย่างต่อเนื่อง
ทนายคลายทุกข์อยากจะชักชวนให้เข้าวัดเข้าวากันบ้าง หลีกเลี่ยงอบายมุข
ให้อภัยซึ่งกันและกัน เน้นฟังมากกว่าเน้นพูด เน้นแก้ไขมากกว่าแก้ตัว สังคมจะสงบมากขึ้น
ทนายคลายทุกข์จะติดตามต่อไปว่า
กฎหมายเพื่อผู้บริโภคจะเป็นประโยชน์ต่อเจ้าหนี้หรือลูกหนี้ในอนาคตกันแน่