โครงการหมู่บ้าน / บริษัท รปภ. ใครต้องรับผิดในกรณีบ้านในโครงการถูกโจรกรรม
ทนายคลายทุกข์ขอนำคดีตัวอย่าง เกี่ยวกับ โครงการหมู่บ้าน / บริษัท รปภ. ใครต้องรับผิดในกรณีบ้านในโครงการถูกโจรกรรม คดีนี้ โจทก์ฟ้องโดยได้รับยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 18 วรรคหนึ่ง ว่าจำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภท บริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการบริการรักษาความปลอดภัยให้กับทรัพย์สิน บุคคล และอาคารสถานที่ จำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดมหาชน ประกอบธุรกิจขายบ้านพร้อมที่ดิน โครงการบ้าน.....เทพารักษ์ โจทก์เป็นเจ้าของของบ้านเลขที่ ....... หมู่ที่ 1 ตำบลแพรกษา อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งปลูกสร้างอยู่ในโครงการดังกล่าว โดยซื้อมาจากจำเลยที่ 2 โครงการบ้าน.....เทพารักษ์ ยังอยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยที่ 2 เนื่องจากยังมีการก่อสร้างอยู่ จำเลยที่ 2 ทำสัญญาจ้างจำเลยที่ 1 ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้แก่บรรดาทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ตลอดจนบริวารและลูกค้าทุกคนที่พักอาศัยอยู่ในโครงการดังกล่าว เมื่อระหว่างวันที่ 4-5 มิถุนายน 2552 บ้านของโจทก์ถูกโจรกรรม ทำให้ทรัพย์สินของโจทก์สูญหายไปหลายรายการ คือ เงินสดจำนวน 150,000 บาท คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก จำนวน 1 เครื่อง ราคา 90,000 บาท กล้องถ่ายรูป จำนวน 1 เครื่อง ราคา 40,000 บาท สร้อยข้อมือทองคำหนักสามบาท จำนวน 1 เส้น ราคา 45,000 บาท สมุดสะสมธนบัตรเก่า จำนวน 1 เล่ม ราคา 30,000 บาท สมุดสะสมแสตมป์เก่า จำนวน 1 เล่ม ราคา 20,000 บาท สายสัญญาณโทรทัศน์ จำนวน 1 เส้น ราคา 3,000 บาท และวิทยุพกพาจำนวน 1 เครื่อง ราคา 3,000 บาท รวมเป็นเงินจำนวน 381,000 บาท โจทก์เรียกร้องให้จำเลยทั้งสองรับผิดชอบเนื่องจากเหตุโจรกรรมเกิดจากความประมาทเลินเล่อของพนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยที่ 1 ที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัด อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 1 ในฐานะนายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างของตนในผลแห่งละเมิดด้วย ซึ่งจำเลยที่ 1 จะขอรับผิดต่อโจทก์เพียง 20,000 บาท จำเลยที่ 2 ในฐานะคู่สัญญากับจำเลยที่ 1 ที่ได้ทำสัญญาเพื่อประโยชน์แก่บุคคลภายนอกซึ่งรวมถึงโจทก์ด้วย จะต้องรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาด้วย และจำเลยที่ 2 ในฐานะตัวการที่ได้มอบหมายให้จำเลยที่ 1 และพนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนในการรักษาความปลอดภัยแก่ทรัพย์สินของบริวารและลูกค้าทุกคนที่พักอาศัยอยู่ในโครงการ จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ขอบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน 381,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้รับฝากทรัพย์ที่สูญหายจากโจทก์ จำเลยที่ 1 ไม่มีหน้าที่ดูแลรักษาทรัพย์สินของโจทก์ที่สูญหาย ทรัพย์สินที่สูญหายอยู่ในความครอบครองของโจทก์ โจทก์ไม่เคยแจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบถึงความมีอยู่จริงของทรัพย์สินดังกล่าว เพื่อให้จำเลยที่ 1 ดูแลรักษาเป็นพิเศษแต่อย่างใด ทรัพย์สินที่สูญหายไม่อยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยที่ 1 ตามสัญญาว่าจ้างรักษาความปลอดภัยข้อ 12.2 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 1 ทำสัญญากับกองทุนบ้าน.....เทพารักษ์ เพื่อดูแลรักษาความปลอดภัยให้แก่บรรดาทัพย์สินของผู้ว่าจ้างตลอดจนบริวารและลูกค้าที่พักอาศัยในโครงการหมู่บ้าน.....เทพารักษ์ และจำเลยที่ 1 ปฏิบัติตามสัญญาว่าจ้างรักษาความปลอดภัยเป็นอย่างดี จำเลยที่ 1 ไม่เคยละเว้นการปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัย และไม่เคยประมาทเลินเล่อทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ว่าจ้างแต่อย่างใด ทรัพย์สินของโจทก์ที่สูญหายไปดังกล่าวเกิดจากความประมาทเลินเล่อของโจทก์ จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ตามสัญญาว่าจ้างรักษาความปลอดภัยกำหนดให้ผู้รับจ้างรับผิดไม่เกินหนึ่งเท่าของค่าบริการที่ผู้รับจ้างได้รับตามสัญญาจ้าง แต่ผู้เสียหายจะต้องแสดงหลักฐานการมีกรรมสิทธิ์ครอบครองทรัพย์สินที่เสียหายหรือสูญหาย เพื่อพิสูจน์ว่าทรัพย์นั้นมีอยู่จริงในขณะเสียหายหรือสูญหาย แต่โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานใด ๆ มาแสดงให้เห็นว่าทรัพย์สินนั้นมีอยู่จริงในขณะเกิดเหตุ โจทก์ประเมินความเสียหายตามฟ้องขึ้นเอง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า โจทก์ไม่ได้ทำสัญญาว่าจ้างรักษาความปลอดภัยกับจำเลยที่ 2 แต่อย่างใด สัญญาจ้างดังกล่าวทำขึ้นระหว่างกองทุนบ้าน.....เทพารักษ์ กับจำเลยที่ 1 และสัญญาดังกล่าวมิใช่สัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกที่มีข้อกำหนดว่าจำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 2 มิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ เนื่องจากจำเลยที่ 2 ใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างดีในการจัดหาบริษัทรักษาความปลอดภัยเพื่อมาดูแลทรัพย์สินในโครงการของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 มิได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของโจทก์ถูกโจรกรรมตามฟ้องแต่อย่างใด จำเลยที่ 2 มิได้เป็นายจ้างของจำเลยที่ 1 และมิได้มีส่วนร่วมในการกระทำละเมิดกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงมิต้องรับผิดในฐานะนายจ้างของจำเลยที่ 1 เช่นเดียวกัน หน้าที่และความรับผิดดังกล่าวเป็นเรื่องระหว่างจำเลยที่ 1 และพนักงานของจำเลยที่ 1 สัญญาจ้างรักษาความปลอดภัยเป็นสัญญาจ้างทำของ และจำเลยที่ 2 ได้ส่งมอบพื้นที่ภายในหมู่บ้านให้แก่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้รับจ้างโดยเด็ดขาดแล้ว จำเลยที่ 2 มิได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวอีก พื้นที่โครงการจึงอยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 มิได้เป็นตัวการหรือตัวแทนของจำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดหากจำเลยที่ 1 ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 1 ไม่อาจทราบได้ว่าทรัพย์สินของโจทก์จะถูกโจรกรรมไปจริงหรือไม่ เนื่องจากโจทก์แจ้งความต่อพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2552 แต่ภาพถ่าย
ท้ายฟ้องโจทก์ถ่ายไว้เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2551 จำเลยที่ 2 ไม่ทราบว่าโจทก์มีทรัพย์สินที่สูญหายตามฟ้องหรือไม่ เนื่องจากไม่ปรากฎหลักฐานว่าโจทก์มีทรัพย์สินดังกล่าวจริง คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก กล้องถ่ายรูป สายสัญญาณทีวี และวิทยุพกพา เป็นทรัพย์สินที่เสื่อมสภาพและเสื่อมราคาไปตามการใช้งาน ราคาที่โจทก์เรียกร้องมาสูงกว่าความเป็นจริง สมุดสะสมธนบัตรเก่าและสมุดสะสมแสตมป์เก่า ก็เป็นการกะประมาณราคาที่สูงกว่าความเป็นจริงเช่นเดียวกัน และเป็นเพียงการกล่าวอ้างลอยๆ จำเลย ที่ 2 ไม่อาจต่อสู้คดีได้อย่างถูกต้อง ฟ้องโจทก์ในส่วนของค่าเสียหายจึงเป็นฟ้องที่เคลือบคลุม โจทก์ไม่เคยแจ้งว่าจะให้จำเลยที่ 2 ดูแลสิ่งใดเป็นกรณีพิเศษโดยเฉพาะซึ่งเป็นไปตามสัญญาจ้างรักษาความปลอดภัย จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 ปฏิบัติตามสัญญาจ้างรักษาความปลอดภัยครบถ้วนแล้ว จำเลยที่ 2 มิได้ปล่อยปละละเลยหรือประมาทเลินเล่อ จำเลยที่ 2 ไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 1 โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เนื่องจากพนักงานสอบสวนแจ้งแก่โจทก์แล้วว่าต้องพักเรื่องการถูกโจรกรรมไว้ก่อนเนื่องจากไม่มีหลักฐานที่จะระบุได้ว่าการโจรกรรมเป็นฝีมือของผู้ใด จึงไม่อาจสรุปได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำละเมิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์และจำเลยทั้งสองแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 101,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 19 ตุลาคม 2552) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยให้จำเลยทั้งสองนำค่าขึ้นศาลมาชำระต่อศาลในนามของโจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก