สั่งจ่ายเช็คไม่ต้องประทับตราบริษัท
ระเบียบธนาคารแห่งประเทศไทยให้บริษัทยกเลิกการใช้ตราประทับ/ตรานูน ประทับลงบนเช็ค
คำพิพากษาฎีกาที่อ้างอิง
คำพิพากษาฎีกาที่ 2559/2559
จำเลยให้การต่อสู้ว่าหนังสือสัญญากู้เงินไม่สมบูรณ์เพราะจำเลยไม่ได้รับเงินกู้ตามสัญญา แต่กลับให้การต่อไปว่า แม้หากหนี้จะมีอยู่จริงตามหนังสือกู้เงินดังกล่าว หนี้ก็ยังไม่ถึงกำหนดชำระเป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งและขัดแย้งกันเอง ไม่ชอบด้วยปวิพ. มาตรา 177 วรรคสอง จึงไม่มีประเด็นนำสืบตามข้อต่อสู้ดังกล่าว จึงถือว่าจำเลยให้การปฏิเสธ
จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาททั้งห้าฉบับ เช็คพิพาทดังกล่าวไม่ได้ประทับตราบริษัทจำเลย และโจทก์ไม่ได้กล่าวไว้ในคำฟ้องว่ามีระเบียบธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตไว้ ไม่ต้องประทับตราของบริษัทได้นั้น คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายให้ปรากฎข้อเท็จจริงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ตามปวิพ. มาตรา 172 วรรคสองแล้วจึงเป็นคำฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมาย แม้คำฟ้องของโจทก์ไม่ได้บรรยายถึงระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทยก็ตาม แต่ระเบียบของธนาคารดังกล่าวเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา โจทก์จึงมีสิทธินำสืบถึงระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทยได้ จำเลยเปิดบัญชีธนาคารโดยมีเงื่อนไขให้ว. กรรมการผู้มีอำนาจลงนามแต่เพียงผู้เดียวในการสั่งจ่ายเช็คของจำเลยโดยไม่ต้องประทับตราบริษัท ซึ่งทำได้โดยชอบตามระเบียบธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อจำเลยโดยว.ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาททั้งห้าฉบับให้โจทก์เพื่อชำระหนี้เงินกู้ โดยจำเลยไม่มีพยานหลักฐานมาพิสูจน์ให้ศาลเห็นว่าเช็คพิพาทดังกล่าวจำเลยสั่งจ่ายเพื่อค้ำประกันความเสียหายของงานที่โจทก์ส่งให้จำเลยทำ แม้เช็คพิพาทดังกล่าวไม่ได้ประทับตราบริษัทจำเลยก็มีผลผูกพันจำเลย แต่เนื่องจากจำเลยออกเช็คพิพาททั้งห้าฉบับเพื่อชำระหนี้เงินกู้ เมื่อเช็คธนาคารถูกปฏิเสธการจ่ายเงินจึงเท่ากับยังไม่มีการชำระหนี้เงินกู้ จำเลยยังต้องรับผิดชำระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมายแก่โจทก์
ตัวบทกฎหมายอ้างอิง
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 172 ภายใต้บังคับบทบัญญัติมาตรา 57 ให้โจทก์เสนอข้อหาของตนโดยทำเป็นคำฟ้องเป็นหนังสือยื่นต่อศาลชั้นต้น
คำฟ้องต้องแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น
ให้ศาลตรวจคำฟ้องนั้นแล้วสั่งให้รับไว้ หรือให้ยกเสีย หรือให้คืนไป ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 18
มาตรา 177 เมื่อได้ส่งหมายเรียกและคำฟ้องให้จำเลยแล้ว ให้จำเลยทำคำให้การเป็นหนังสือยื่นต่อศาลภายในสิบห้าวัน
ให้จำเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่า จำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น
จำเลยจะฟ้องแย้งมาในคำให้การก็ได้ แต่ถ้าฟ้องแย้งนั้นเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมแล้ว ให้ศาลสั่งให้จำเลยฟ้องเป็นคดีต่างหาก
ให้ศาลตรวจดูคำให้การนั้นแล้วสั่งให้รับไว้ หรือให้คืนไปหรือสั่งไม่รับตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 18
บทบัญญัติแห่งมาตรานี้ ให้ใช้บังคับแก่บุคคลภายนอกที่ถูกเรียกเข้ามาเป็นผู้ร้องสอดตามมาตรา 57 (3) โดยอนุโลม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 321 ถ้าเจ้าหนี้ยอมรับการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ ท่านว่าหนี้นั้นก็เป็นอันระงับสิ้นไป
ถ้าเพื่อที่จะทำให้พอแก่ใจเจ้าหนี้นั้น ลูกหนี้รับภาระเป็นหนี้อย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นใหม่ต่อเจ้าหนี้ไซร้ เมื่อกรณีเป็นที่สงสัย ท่านมิให้สันนิษฐานว่าลูกหนี้ได้ก่อหนี้นั้นขึ้นแทนการชำระหนี้
ถ้าชำระหนี้ด้วยออก-ด้วยโอน-หรือด้วยสลักหลังตั๋วเงินหรือประทวนสินค้า ท่านว่าหนี้นั้นจะระงับสิ้นไปต่อเมื่อตั๋วเงินหรือประทวนสินค้านั้นได้ใช้เงินแล้ว
มาตรา 900 บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้น
ถ้าลงเพียงแต่เครื่องหมายอย่างหนึ่งอย่างใด เช่น แกงไดหรือลายพิมพ์นิ้วมืออ้างเอาเป็นลายมือชื่อในตั๋วเงินไซร้ แม้ถึงว่าจะมีพยานลงชื่อรับรองก็ตาม ท่านว่าหาให้ผลเป็นลงลายมือชื่อในตั๋วเงินนั้นไม่
ปรึกษาข้อกฎหมายกับทีมทนายความ ทนายคลายทุกข์ โทร.02-9485700, 081-6161425