"ทนายไม่ใช่นักเลง และตำรวจก็ไม่ใช่อันธพาล"
ผมได้รับโทรศัพท์และ LINE จากเพื่อนตำรวจและทนายความหลายท่าน ให้ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ "เรื่องการยุยงส่งเสริมให้ประชาชนกับเจ้าหน้าที่ของรัฐทะเลาะกัน" รวมทั้งพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ไม่เหมาะสม ข่มขู่คุกคามประชาชน ผมขอเรียนว่าทนายความการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนนอกจากจะต้องคำนึงถึงตัวบทกฏหมายและคำพิพากษาฎีกาแล้ว จะต้องคำนึงถึงความสงบเรียบร้อยที่จะเกิดขึ้นในบ้านเมือง จรรยาบรรณในวิชาชีพ ด้วยนะครับ รวมทั้งข้อบังคับของสภาทนายว่าด้วยมรรยาททนายความที่มีต่อบุคคลทั่วไป ส่วนข้าราชการตำรวจนั้นก็มีจรรยาบรรณของตำรวจและพนักงานสอบสวนควบคุมไว้ ตำรวจ การจะพูดจากับประชาชนนั้นต้องพูดจาด้วยถ้อยคำสุภาพไม่ใช่ "ข่มขู่เอะอะโวยวายเสียงดัง" ดังนั้นหากทนายความจะให้คำปรึกษาประชาชนก็ควรจะให้คำปรึกษาว่า "ประชาชนมีสิทธิอย่างไรบ้างหากถูกเจ้าหน้าที่รัฐรังแก" "ไม่ใช่ไปชี้ช่อง ชี้โพรงว่าการท้าชกกับตำรวจนั้ไม่มีความผิดตามกฏหมาย" "กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา" การพูดหรือการให้คำแนะนำดังกล่าวกับผู้สื่อข่าว "ย่อมเล็งเห็นแล้วว่าผู้สื่อข่าวต้องนำไปเสนอข่าวโฆษณาเผยแพร่" (อ้างอิงคำพิพากษาฎีกาที่ 3545/2558) ทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง เพราะหากมีคนเชื่อคำแนะนำของทนายก็จะไปทะเลาะกับตำรวจมากขึ้นทุกวันสังคมก็จะวุ่นวายครับ
ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ทนายคนดังกล่าวเป็นทนายดังมีผู้ติดตามหลายแสนคนและมีการแชร์บทสัมภาษณ์ไปทั่วอินเตอร์เน็ต เกิดความขัดแย้งในสังคมในวงกว้าง อีกด้านหนึ่ง เจ้าหน้าที่ของรัฐถ้าประพฤติตนไม่เหมาะสม ประชาชนก็มีสิทธิที่จะดำเนินคดีทางวินัยอาญาได้อยู่แล้วครับ ช่องทางที่กฎหมายกำหนดน่าจะใช้ช่องทางสันติวิธีนี้ดีกว่านะครับ เพราะทางตำรวจและพนักงานสอบสวนล้วนมีความรู้ทางกฏหมายดีก็ต้องใช้สิทธิทางศาลยุติธรรม "ไม่ใช่ใช้ศาลเตี้ยครับ"
อยากฝากไปยังสภาทนายความให้ดูแลความประพฤติทนายความในการให้ความเห็นทางกฎหมายต่อสื่อมวลชนของทนายด้วยครับ ด้วยความเคารพพี่น้องประชาชน จากทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ประธานเครือข่ายทนายคลายทุกข์
"ปัจจุบันผู้ต้องหาที่ถูกแจ้งความว่าดูหมิ่นเจ้าพนักงานในการท้าชกกับตำรวจได้ถูกดำเนินคดีอาญาแล้วใครจะรับผิดชอบครับ"
คำพิพากษาฎีกาที่ 3545 / 2558
ทั้งสองนำความเท็จใส่ร้ายโจทก์แถลงต่อผู้สื่อข่าว ย่อมเล็งเห็นผลว่าผู้สื่อข่าวต้องนำข้อความที่จำเลยทั้งสองแถลงไปเสนอข่าวทางหนังสือพิมพ์ การที่หนังสือพิมพ์เสนอข่าวตามที่จำเลยทั้งสองแถลง จึงเป็นการที่จำเลยทั้งสองใช้ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์เป็นเครื่องมือในการหมิ่นประมาทโจทก์ จำเลยทั้งสองย่อมมีความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาด้วยเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ประกอบมาตรา 83 ไม่ใช่มาตรา 326