ดีเดย์11ส.ค.'กฎหมายคุ้มครองเงินฝาก'บังคับใช้
ธปท.เชื่อปีแรกแห่โยกเงินฝากไม่เยอะ
ตัวบทกฎหมายอ้างอิง
พ.ร.บ.
สถาบันคุ้มครองเงินฝาก
พ.ศ. 2551
มีผลบังคับใช้
วันที่ 11
สิงหาคม พ.ศ. 2551
มาตรา
52 เมื่อสถาบันการเงินใดถูกเพอกถอนใบอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงินแล้ว
คณะกรรมการต้องส่งมอบเงินและทรัพย์สิน
ให้กับสถาบันคุ้มครองเงินฝาก
และประกาศให้ผู้ฝากเงินขอรับเงินภายใน
14 วัน นับแต่วันถูกเพิกถอนใบอนุณาต
มาตรา
53
ภายในไม่เกิน
30 วัน
นับแต่วันที่ผู้ฝากเงินยื่นคำขอเงินฝากคืน
ให้สถาบันคุ้มครองเงินฝาก
จ่ายเงินให้กับผู้ฝากเงิน
หากเงินฝากทุกบัญชีรวมกันมีจำนวนเกินกว่า
1 ล้านบาท
ให้จ่ายเงินเป็นจำนวนเงิน
1 ล้านบาท
ดังนั้นผู้ที่ฝากเงินเกิน
1 ล้านบาทต่อ 1
บัญชีหากธนาคารล้ม
ผู้ฝากเงินต้องรับเวรรับกรรมเอาเอง
นับแต่นี้ถ้าจะฝากเงินจะต้องเลือกสถาบันการเงินที่มึความน่าเชื่อถือสูง
ธนาคารขนาดเล็กจะไม่มีผู้ฝากเงิน
เพราะไม่ได้รับความคุ้มครองเงินฝาก
ธปท.ยันสถาบันคุ้มครองเงินฝากบังคับใช้ปีแรกไม่กระทบเงินฝากแบงก์
เหตุยังคุ้มครองเต็มจำนวน
ห่วงเข้าปีที่
2 แต่ทำแผนรองรับไว้แล้ว
ขณะที่ บง.และ
บค.พร้อมแปลงตั๋วสัญญาใช้เงิน
เป็น "สมุดคู่ฝากเงิน-ใบรับฝากเงิน-บัตรเงินฝาก"
นายพงศ์อดุล
กฤษณะราช
ผู้อำนวยการอาวุโส
ฝ่ายวิเคราะห์และติดตามฐานะ
สายกำกับสถาบันการเงิน
ธนาคารแห่งประเทศไทย
(ธปท.)
กล่าวถึง พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝาก
ที่จะมีผลบังคับใช้วันที่
11 ส.ค.นี้ว่า
ธปท.ได้ติดตามดูผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับการเคลื่อนย้ายเงินฝากของสถาบันการเงินอย่างใกล้ชิดในช่วงก่อนและหลัง
พ.ร.บ.มีผลบังคับใช้
15 วัน ซึ่งขณะนี้ยังไม่เห็นการเคลื่อนย้ายเงินฝากที่ผิดปกติหรือการตื่นตระหนกของผู้ฝากเงิน
อย่างไรก็ตาม
ก่อนหน้านี้ ธปท.ได้สั่งให้สถาบันการเงินทุกแห่งจัดทำแผนบริหารสภาพคล่อง
เพื่อรองรับปัญหาการเคลื่อนโยกย้ายเงินฝากที่อาจเกิดขึ้นเมื่อการค้ำประกันเงินฝากมีสัดส่วนลดลงเหลือเพียง 1 ล้านบาทต่อรายต่อสถาบันการเงิน
"คาดว่าภายในสิ้นเดือนนี้
ธนาคารทุกแห่งจะสามารถส่งแผนบริหารสภาพคล่องให้
ธปท.พิจารณา แต่เชื่อว่าในปีแรกไม่น่ามีปัญหาเรื่องการโยกย้ายเงินฝากจนกระทบต่อสภาพคล่องของสถาบันการเงิน
เพราะสถาบันคุ้มครองเงินฝากยังคุ้มครองเงินฝากเต็มจำนวน
แต่ปีที่ 2 การคุ้มครองเงินฝากลดลงเหลือ
100 ล้าน
อาจเริ่มเห็นการเคลื่อนย้ายเงินฝากเกิดขึ้น
จึงสั่งให้สถาบันการเงินทำแผนเพื่อรองรับกรณีฉุกเฉินมีเงินฝากไหลออกเป็นจำนวนมาก
โดยเฉพาะบริษัทเงินทุน
(บง.)
และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์
(บค.) เพราะเป็นสถาบันการเงินขนาดเล็ก"
ทั้งนี้
ในกรณีของ
บง.และ บค.
ปัจจุบันรับฝากเงินเป็น
"ตั๋วสัญญาใช้เงิน"
ซึ่ง พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝากไม่ได้ระบุให้ความคุ้มครองเงินฝาก
ดังนั้นเพื่อให้การคุ้มครองเงินฝากมีผลครอบคลุมการรับฝากเงินของ
บง.และ บค. ธปท.จึงกำหนดให้เปลี่ยนรูปแบบการรับฝากเงินของ
บง.และ บค. จากตั๋วสัญญาใช้เงินมาเป็น
"สมุดคู่ฝากเงิน"
หรือ
"ใบรับฝากเงิน"
หรือ
บัตรเงินฝาก"
เพื่อจะได้รับการคุ้มครองเงินฝากตาม
พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝาก
ที่จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่
11 ส.ค. 2551
โดย
ธปท.ได้ประสานงานกับบริษัทเงินทุน
(บง.)
และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์
(บค.) เพื่อดูแลให้การดำเนินการเปลี่ยนตั๋วสัญญาใช้เงินมาเป็นสมุดคู่ฝากเงินหรือใบรับฝากเงินหรือบัตรเงินฝากเป็นไปด้วยความราบรื่น
ทั้งนี้การเปลี่ยนตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวจะต้องคงเงื่อนไขการจ่ายดอกเบี้ย
กำหนดเวลาการชำระคืนเงิน
และเงื่อนไขอื่นๆ
เหมือนเดิมทุกประการ
เว้นแต่วันที่ออกเอกสารใหม่จะเป็นวันที่ดำเนินการเปลี่ยนตั๋วสัญญาใช้เงินเป็นสมุดเงินฝากหรือใบรับฝากเงิน
"บง.และ บค.ส่วนใหญ่เตรียมพร้อม
เพื่อเปลี่ยนตั๋วสัญญาใช้เงินมาเป็นสมุดคู่ฝากเงิน
หรือใบรับฝากเงินหรือบัตรเงินฝากเรียบร้อยแล้ว
เนื่องจากเป็นการดูแลไม่ให้ลูกค้าเสียผลประโยชน์
ขณะที่ บง.และ
บค.เองสามารถดูแลฐานลูกค้าไว้ได้ด้วย
ซึ่งเท่าที่ดูเงินฝากของ
บง.และ บค.ก็ไม่พบการโยกย้ายเงินที่ผิดปกติเช่นกัน"
ทั้งนี้
ปัจจุบันมี
บง.และ บค.
จำนวน 7 แห่ง
ได้แก่ บมจ.เงินทุนกรุงเทพธนาทร บง.ฟินันซ่า บมจ.เงินทุนสินอุตสาหกรรม
บง.แอ็ดวานซ์
บค.ลินน์ ฟิลลิปส์ มอร์ทเก็จ
บค. สหวิริยา
และ
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าวจากเว็บไซต์
มิติชน